เวลาพูดคุยกับคู่สนทนา เรากำลังฟังอยู่หรือเปล่า
หรือว่าเราเพียงได้ยิน ก่อนที่ทุกอย่างจะพาดผ่านไป
ตามด้วยจังหวะที่เราจะแสดงอัตตาตัวโตของเราออกมาทางคำพูดให้อีกฝ่ายสัมผัส
จนถึงจุดหนึ่งเราก็จะหยุด และปล่อยให้อีกฝ่ายพูด
เพื่อที่จะหาจังหวะของเราอีกครั้งหนึ่ง เป็นเช่นนี้สลับไป
.
.
การฟังกับการได้ยินแตกต่างกันที่ความใส่ใจต่อคู่สนทนา
การใส่ใจต่อคู่สนทนาเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน
เพราะโดยทั่วไป มนุษย์จะเริ่มที่ขอบเขตของความเป็น “ตัวเรา” มากกว่า
ซึ่งคู่สนทนาไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อยู่นอกเหนือขอบเขตนี้
และการอยู่กับความเป็น “เรา” นั้นง่ายกว่าการให้ความสำคัญกับ “เขา”
การพูดคือเรื่องของ “เรา”
การฟังคือเรื่องของ “เขา”
ด้วยเหตุนี้การฟังจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย
.
.
โดยส่วนใหญ่คนที่โดดเด่นในสังคมมักจะมีทักษะการพูดที่ดี
จึงทำให้คนจำนวนมากมุ่งฝึกฝนเรื่องการพูด
ในขณะที่เราไม่สามารถรับรู้ถึงทักษะการฟังของผู้คนได้หากสัมผัสเพียงผิวเผิน
การฟังจึงดูโดดเด่นรองจากการพูด
อย่างไรก็ตาม แม้จะโดดเด่นน้อยกว่า
แต่พลังของการฟังไม่ได้ด้อยกว่าการพูดเลย
เพราะเหตุผลเดิมที่ว่าคนเรามักจะสนใจเรื่องของตัวเองมากที่สุด
และการฟังเป็นการนำโฟกัสไปอยู่ที่ “เขา” นั่นคือตัวตนของคู่สนทนา
คือ “เรา” ในมุมของคู่สนทนา
นั่นคือคุณกำลังให้ความสำคัญกับสิ่งที่คู่สนทนาให้ความสนใจมากที่สุดอยู่
และเป็นจุดเริ่มต้นที่คู่สนทนาจะเปิดใจให้กับคุณ
.
.
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ทักษะการพูดที่ดีจะสำคัญ
แต่อย่าลืมให้ความสำคัญกับการฟัง
แม้จะรับรู้ได้ยากกว่าการเอ่ยคำพูดที่ไพเราะหวานหู แต่การฟังอย่างสงบและตั้งใจก็มีพลังที่สามารถกุมใจผู้คนได้ไม่แพ้กัน