เมื่อวันที่ 10 – 13 ธันวาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไป ‘ธุดงค์’ เป็นครั้งแรกของชีวิต (ในฐานะฆราวาส) ที่ดอยอินการธุดงค์ครั้งนี้เป็นการสอบภาคปฏิบัติของหลักสูตรครูสมาธิ หลักสูตร 6 เดือนที่ ‘หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร’ อริยสงฆ์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นผู้ริเริ่มขึ้นเพื่อให้ฆราวาสได้เรียนรู้การฝึกสมาธิอย่างเป็นลำดับขั้นตอนและสามารถนำผลของการฝึกสมาธิไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งการธุดงค์ในครั้งนี้ก็ทำให้ได้ครุ่นคิดหลายอย่าง เลยมาจดบันทึกเอาไว้ก่อนที่จะหลงลืมไป
-
เคยคิดว่าการธุดงค์เป็นเรื่องไม่ยากเหมือนเปลี่ยนบรรยากาศนั่งสมาธิเฉยๆแต่เอาเข้าจริงลำบากกว่าที่คิดเยอะทั้งสภาพร่างกายที่เดินขึ้นดอยมาเหนื่อยๆทั้งที่นั่งที่หลายครั้งก็ไม่เอื้ออำนวยเป็นพื้นลาดเอียงบ้างอะไรบ้างทำให้นั่งสมาธิให้จิตสงบได้ยากกว่านั่งที่บ้านปกติถ้าไม่วูบหลับไปก็ปวดเมื่อยจนนั่งสมาธิไม่ได้เลย
-
รู้สึกว่าพระธุดงค์หรือครูบาอาจารย์ที่ออกปฏิบัติธรรมตามป่าเขานั้นไม่ธรรมดาเลยเพราะการออกธุดงค์ของท่านยาวนานกว่าที่เราไปมากการอยู่ตามป่าเขาที่รกชัฏไม่มีความสะดวกสบายใดๆจำเป็นต้องมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงมากไหนจะต้องระวังแมงสัตว์กัดต่อยงูเงี้ยวเขี้ยวขอไปจนถึงสัตว์ป่าดุร้ายทั้งหลายด้วย
-
ในขณะที่ปุถุชนทั่วไปอย่างเราๆแบกกระเป๋าพร้อมกับสัมภาระหนักๆมากกว่า 5 กิโลกรัมที่บรรจุเสื้อผ้าและเครื่องใช้ต่างๆ พระสงฆ์ที่ร่วมธุดงค์ด้วยมีสัมภาระเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะว่าไปก็เหมือนกับความห่วงและภาระต่างๆในชีวิตของเราที่มีอยู่มากมาย หลายครั้งก็ทำให้เราเหนื่อยหนักใจ ในขณะที่พระสงฆ์มีเรื่องที่ต้องแบกเอาไว้น้อยกว่า ชีวิตก็เบาสบายกว่ากันมาก
-
การเดินขึ้นเขา เป็นกิจกรรมที่ฝึกการอยู่กับปัจจุบันเป็นอย่างดี หากเราคิดมองแต่เบื้องบน เฝ้านึกถึงแต่จุดหมายว่าเมื่อไรจะถึงเสียที ในบางจุดก็ทำให้เกิดความรู้สึกเหนื่อยและท้อ แต่ถ้าหากเราดึงตัวเองกลับมาอยู่ ณ จุดที่เราอยู่ ก้มมองและมีสติกับทุกก้าวย่าง ทีละก้าวๆ เราจะเดินไปได้เรื่อยๆและไม่เหนื่อยมากนัก
-
ผู้คนรอบตัวเป็นกระจกสะท้อนตัวเราได้ ลองสังเกตคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือบุคคลต่างๆที่พบเจอในชีวิตของเราแล้วพินิจพิจารณาดูให้ดี จะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น
โดยรวมแล้วการธุดงค์ครั้งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมครั้งหนึ่งในชีวิตของผม และยังช่วยให้มีกำลังใจที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นสำหรับการปฏิบัติขัดเกลาตนเองต่อไปอีกด้วย