สมัยไปเรียนที่เกียวโต ผมเป็นคนกินข้าวข้างนอกบ่อยมาก ๆ
เรียกว่าทำอาหารเองนับครั้งเลยก็ว่าได้ ฮ่า ๆ
แถมยังเป็นคนที่เวลาชอบหรืออยากกินอะไรแล้ว จะไปกินซ้ำ ๆ กันต่อเนื่องกันหลายวันเสียด้วย
เลยทำให้เจ้าของและพนักงานร้านอาหารหลาย ๆ ร้านที่ไปจำผมได้
หนึ่งในร้านเหล่านั้น เป็นร้านแกงกะหรี่ในฟู้ดคอร์ทของห้างที่อยู่ไม่ไกลหอพักมาก
ชื่อร้าน em em
แกงกะหรี่ของร้านนี้รสชาติดี และยังมีเอกลักษณ์อีกอย่างคือเสิร์ฟพร้อมซุปใสที่มีหัวหอมต้มจนเปื่อย กินตัดรสกับแกงได้ดีมาก ๆ

(ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลย โชคยังดีลองเสิร์ชดูแล้วเจอรูปนี้ เป็นรูปเดียวของแกงกะหรี่ร้านนี้ในอินเตอร์เน็ต)
นอกจากรสชาติของอาหารที่อร่อยแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำคือคุณลุงคุณป้าเจ้าของร้าน
ทั้งสองคนใจดียิ้มแย้มแจ่มใสทุกครั้งที่เจอกัน
พอไปประจำ ทั้งคุณลุงคุณป้าก็จำผมได้ และเริ่มชวนผมคุย
คุณป้าคุยด้วยไม่มาก ส่วนใหญ่คนที่คุยกับผมเยอะ ๆ คือ คุณลุง
“มาจากเมืองไทยเหรอ มาทำอะไรล่ะ”
“ที่เมืองไทยเป็นยังไงบ้าง”
“แกงกะหรี่ที่ร้านโอเคไหม เผ็ดแค่นี้พอหรือเปล่า”
พอรู้ว่าผมเป็นคนไทย แกก็ห่วงว่าแกงร้านแกจะเผ็ดไม่พอ ไม่ถูกปากผม
หลังจากนั้นเวลาไปที่ร้านแล้วสั่งอาหาร คุณลุงก็จะบอกเลย
“อ้อ แกงกะหรี่หมูทอดนะ เอาแบบเผ็ดสุดยอดไปเลยนะ !”
แล้วแกก็ทำแกงเผ็ดพิเศษให้เราจริง ๆ
ได้รสได้ชาติขึ้นเยอะ ฮ่า ๆ
แต่ที่น่ารักที่สุดเลย
ช่วงนั้นที่เมืองไทยมีม็อบ สถานการณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
เย็นวันนั้น ผมก็ไปกินข้าวที่ร้านและได้เจอกับคุณลุง
“สถานการณ์ที่ไทยเป็นยังไงบ้าง ทางบ้านโอเคไหม”
แกถามด้วยความห่วงใย บอกว่าแกรู้จากข่าว สถานการณ์ดูรุนแรงน่าเป็นห่วง
เราก็อธิบายให้แกฟังไป พร้อมบอกว่าบ้านเราอยู่ไกลจากบริเวณม็อบ ไม่เป็นอะไร แล้วก็คุยกันต่อสักพัก ก่อนที่อาหารจะพร้อมเสิร์ฟ
.
.
เวลาผ่านไป จนเมื่อ 3 – 4 ปีก่อน ผมไปเกียวโตและแวะไปร้านข้าวแกงกะหรี่ของลุงกับป้าอีกครั้ง
ที่ตรงนั้นกลายเป็นร้านขนมไปแล้ว
ไม่มีข้าวแกงกะหรี่เผ็ดสุดยอดของคุณลุงแล้ว
รู้สึกเสียดายเหมือนกัน
แต่ไม่เป็นไร
อย่างน้อย แกงกะหรี่ของคุณลุงกับคุณป้าก็ยังคงอยู่
ในความทรงจำ…😊