Categories
Life

ชนกำแพง

เมื่อสมัยมัธยม มีกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ผมให้ความจริงจังกับมันมาก

นั่นคือการเล่นหมากล้อม

และเพื่อยกระดับฝีมือตัวเองให้เก่งกาจยิ่งขึ้น

ผมใช้เวลาฝึกฝนเยอะมาก ทั้งเล่นแข่งกับผู้เล่นอื่นผ่านอินเตอร์เน็ต ทำโจทย์หมากล้อม

สารพัดวิธีเพื่อที่จะทำให้ตัวเองเก่งขึ้นได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

.

.

สิ่งที่ผมค้นพบ ณ ตอนนั้น คือ พัฒนาการฝีมือของตัวเองมีจังหวะของมันอยู่

ตั้งแต่เริ่มตั้งใจฝึกจริงจังจนถึงเริ่มแข่งกับชาวบ้านได้เป็นเรื่องเป็นราวและเอาชนะผู้เล่นระดับเริ่มต้นได้สบาย ๆ ช่วงนั้นใช้เวลาน้อยมาก รู้สึกสนุกเพราะชนะมากขึ้น ทุกอย่างพัฒนาอย่างรวดเร็วมาก พูดให้เห็นภาพง่าย ๆ คือช่วงแรกพัฒนาเร็วสุด ๆ

แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง จู่ ๆ ความเร็วในการก้าวหน้าของเราก็ตก รู้สึกว่าฝีมือไม่กระเตื้องขึ้นเลยไม่ว่าจะฝึกขนาดไหน รู้สึกย่ำอยู่กับที่มาก ๆ แม้จะไม่หยุดฝึกซ้อม แต่ก็รู้สึกว่าทำไมตัวเองไม่ก้าวหน้าเหมือนตอนแรกเลย

ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนชนกำแพง

จำไม่ได้เป๊ะ ๆ ว่านานเท่าไร แต่เหมือนจะเป็นหลักเดือนอยู่

จากคนที่เคยวิ่งเร็วกลายเป็นรู้สึกไม่ก้าวหน้า มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก

เหมือนกำลังวิ่งชนกำแพงที่ข้ามไม่ได้อยู่ทุก ๆ วัน หรือว่าฝีมือเรามันจะไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วกันนะ

เรียกว่าชนจนท้อ ไม่ใช่ว่าไม่ฝึกไม่สู้นะแต่มันผ่านไม่ได้จริง ๆ

จนสุดท้าย ถ้าจำไม่ผิดก็ปล่อยวางความรู้สึกตรงนั้น แล้วก็ยังคงเล่นต่อไปเรื่อย ๆ

มาจนวันหนึ่ง จู่ ๆ ฝีมือเราก็ก้าวกระโดดขึ้นมาขั้นใหญ่เอาเสียเฉย ๆ แบบงง ๆ

อ่านหมากดีขึ้น ประเมินสถานการณ์ดีขึ้น เล่นได้ดีขึ้นผิดหูผิดตา

ความรู้สึกตอนนั้นคือเฮ้ย เราผ่านกำแพงมาได้แล้ว

และพอผ่านกำแพงนั้นปุ๊บ ความก้าวหน้าก็เป็นไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับช่วงแรกที่ฝึกฝน

หลังจากนั้นมาอีกสักพักใหญ่ ผมก็เจอกำแพงอีก

รู้สึกเหมือนเดิมว่าไม่ค่อยก้าวหน้า แต่ไม่ได้รู้สึกแย่เท่าเดิม

แล้วก็เช่นเดียวกับครั้งก่อน เมื่อเวลาผ่านไป จู่ ๆ ผมก็ผ่านกำแพงตรงนั้นมาได้แบบไม่รู้ตัวอีกเช่นกัน

.

.

ประสบการณ์ในการฝึกหมากล้อมตอนนั้นได้ให้บทเรียนใหญ่ ๆ กับผม คือ

เอาจริง ๆ ไม่ใช่แค่หมากล้อม ในชีวิตเรา มันอาจจะมีสิ่งที่เรียกว่ากำแพงอยู่ในมุมต่าง ๆ ของชีวิต

เวลาเราเจอกำแพงที่รู้สึกว่ายากเย็นเหลือเกินที่จะข้ามมันไปได้ อย่าเพิ่งถอนตัวเร็วเกินไป ให้ลองชนกับมันดูก่อน

มันอาจใช้เวลาสักนิด เพราะเวลาชนกำแพง กำแพงมักจะเป็นเรื่องที่เราไม่คุ้นเคยหรืออยู่นอกเหนือขอบเขตความสามารถของเราในปัจจุบัน

แต่ถ้าเรายังคงพยายามหาทางผ่านมันไป อดทนกับความรู้สึกแย่ ๆ ตรงนั้นสักหน่อย

รู้สึกตัวอีกที เราอาจจะเติบโตขึ้นโดยไม่รู้ตัวก็ได้

และสิ่งที่เราเคยเรียกมันว่ากำแพงในวันนั้น ก็จะไม่ใช่กำแพงที่จะมาหยุดกั้นเราในวันนี้อีกต่อไป

.

.

ปิดท้ายบล็อกวันนี้ด้วย Quote ที่เคยอ่านเจอในหนังสือ The Last Lecture แล้วชอบมาก

“The brick walls are there for a reason. The brick walls are not there to keep us out. The brick walls are there to give us a chance to show how badly we want something. Because the brick walls are there to stop the people who don’t want it badly enough. They’re there to stop the other people.”

“การมีอยู่ของกำแพงนั้นมีเหตุผล กำแพงไม่ได้อยู่ตรงนั้นเพื่อกั้นไม่ให้เราถึงจุดหมาย กำแพงอยู่ตรงนั้นเพื่อให้เรามีโอกาสที่จะแสดงออกมาว่าเราต้องการสิ่งนั้นมากขนาดไหน เพราะกำแพงอยู่ตรงนั้นเพื่อหยุดคนที่ไม่ได้มีความต้องการมากพอ มันอยู่ตรงนั้นเพื่อกันคนไม่ตั้งใจจริงออกไป”